วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

คำถามท้ายบทที่ 7

1. หลักสูตรสถานศึกษามีความสำคัญหรือจำเป็นอย่างไร

ความสำคัญของหลักสูตรสถานศึกษา
              ข้อกฎหมายที่สถานศึกษาต้องไปดำเนินการให้สถานศึกษาหรือโรงเรียนสามารถพัฒนาหลักสูตรได้เองภายใต้กรอบของหลักสูตรแกนกลางเป็นเรื่องที่จะต้องมี การเตรียมการให้พร้อมเพื่อตอบสนองการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กำหนดแนวการจัดการศึกษาในมาตรา 22 ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และในมาตรา 23 กำหนดการจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสามารถทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา ในเรื่องต่อไปนี้
              1. ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน ชาติ และสังคมโลก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
              2. ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้และความเข้าใจและประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบำรุงรักษา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน
              3. ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้             ภูมิปัญญา
              4. ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง
              5. ส่งเสริมการสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้ในการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอน และแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ
              6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครองและบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
              จากข้อกำหนดจากมาตรา 22, 23, 24 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2524 นำไปสู่การกำหนดคุณภาพมาตรฐานของผู้จบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งที่ผ่านมาในอดีต  กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544: 4) กำหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 ดังนี้ คือ
              1. เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยในตนเอง ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์
              2. ความคิดสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน รักการอ่าน รักการเรียน และรักการค้นคว้า
              3. มีความรู้อันเป็นสากล ที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ มีทักษะและศักยภาพในการจัดการ การสื่อสารและเทคโนโลยี ปรับวิธีการคิดวิธีการทำงานได้เหมาะสมกับสถานการณ์
              4. มีทักษะและกระบวนการ โดยเฉพาะทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทักษะการคิดและ          การสร้างปัญญา และทักษะในการดำเนินชีวิต
              5. รักการออกกำลังกาย ดูแลตนเองให้มีสุขภาพและบุคลิกภาพที่ดี
              6. มีประสิทธิภาพในการผลิตและการบริโภค มีค่านิยมเป็นผู้ผลิตมากกว่าผู้บริโภค
              7. เข้าใจในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ภูมิใจในความเป็นไทย เป็นพลเมืองดี ยึดมั่นในวิถีและการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
              8. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ภาษาไทย ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี กีฬา ภูมิปัญญาไทยทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาสิ่งแวดล้อม
              9. รักประเทศชาติและท้องถิ่น มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามให้สังคม



2. การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาโดยสรุปมีกี่ขั้นตอน และสาระสำคัญในแต่ละขั้นตอน
เป็นอย่างไร


          ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กำหนดขึ้น เป็นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ เริ่มตั้งแต่การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน การร่างหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร การนำหลักสูตรไปใช้ในสถานการณ์จริง รวมทั้งการประเมินผลหลักสูตร โดยหวังว่าขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรที่สมบูรณ์ทำให้ได้หลักสูตรที่มีประสิทธิภาพ กล่าวโดยสรุปขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้คือ        
              ขั้นที่ 1 การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ ได้แก่
                   1.1 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการของชุมชน
                   1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน
                   1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง
              ขั้นที่ 2 การร่างหลักสูตร
                   2.1 การกำหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร
                   2.2 การกำหนดเนื้อหาสาระ
                   2.3 การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อต่างๆ
                   2.4 การกำหนดวิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน
              ขั้นที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร
              ขั้นที่ 4 การนำหลักสูตรไปใช้
              ขั้นที่ 5 การประเมินผลหลักสูตร
              รายละเอียดในแต่ละขั้นตอนมีดังนี้
              ขั้นที่ 1 การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน  ในการพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ เพื่อใช้ในการกำหนดองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรซึ่งได้แก่ วัตถุประสงค์ของหลักสูตร เนื้อหาสาระ กิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน/สื่อ การวัดและประเมินผลผู้เรียนซึ่งข้อมูลพื้นฐานที่ได้จากการศึกษาช่วยในการกำหนดวัตถุประสงค์หรือการกำหนดสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ วัตถุประสงค์จะเป็นตัวกำหนดเนื้อหาสาระที่ควรจัดให้ผู้เรียน ซึ่งอยู่ในลักษณะรายวิชา หลังจากนั้นจึงนำมากำหนดกิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน สื่อการเรียนรู้ต่างๆ รวมทั้งการกำหนดวิธีการวัดและประเมินผลผู้เรียนว่าจะใช้วิธีการอย่างไร ซึ่งการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรควรประกอบด้วย
                   1.1 การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน  เนื่องจากโรงเรียนที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และวัฒนธรรมของชุมชน ช่วยเตรียมคนให้กับชุมชนและสังคม ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดเป็นทำเป็นและเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม จำเป็นต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการของชุมชนหรือสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่ เพื่อให้หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมีความทันสมัยเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชน การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชนมีการศึกษาในหลายด้าน เช่น การศึกษา สาธารณูปโภค สิ่งแวดล้อม การประกอบอาชีพ ในปัจจุบันและแนวโน้มของอาชีพในอนาคต สุขภาพอนามัย ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยม ทรัพยากรต่างๆ ปัญหาของชุมชน ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนอาจศึกษาจากการสำรวจสอบถามสัมภาษณ์บุคคลในชุมชน และศึกษาจากเอกสาร รายงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางในการตอบสนองความต้องการของชุมชนในพื้นที่ได้
                   ข้อมูลของชุมชนที่สำคัญมีดังต่อไปนี้
                        1. ข้อมูลสภาพทั่วไปของชุมชน  แผนที่ชุมชน  แสดงที่ตั้งของสถานที่ต่างๆ เช่น สิ่งสำคัญในชุมชน  เช่น  วัด  โรงเรียน  เทศบาล  ธนาคาร ฯลฯ รวมทั้งลักษณะการตั้งบ้านเรือนภายในชุมชน  ประวัติความเป็นมาและสภาพของชุมชน  จำนวนประชากร  แยกตามเพศ  อายุ  จำนวนครัวเรือน  ศาสนา  สถานที่ท่องเที่ยว  เป็นต้น
                        2. ข้อมูลด้านการศึกษา  จำนวนผู้จบการศึกษาในระดับต่างๆ  จำนวนนักเรียนในระดับต่างๆ  เช่น  ประถม  มัธยม  ฯลฯ จำนวนครูที่สอนในระดับต่างๆ  จำนวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น ศึกษานิเทศก์ ฯลฯ
                        3. ข้อมูลศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน ภาษาท้องถิ่น โบราณสถาน โบราณวัตถุภายในชุมชน ดนตรี เพลง การแสดงพื้นบ้านของชุมชน วรรณกรรม ตำนานพื้นบ้านของชุมชน
                        4. ข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อาชีพ/รายได้ของคนในชุมชน  ปฏิทิน การปฏิบัติงานของชุมชน เช่น  ช่วงเดือนการเก็บเกี่ยวข้าว ช่วงเวลาการเก็บเงาะ  การตัดยาง  เป็นต้น รวมทั้งทรัพยากรที่มีในชุมชน  เช่น  ป่าไม้  แร่ธาตุ  แหล่งน้ำ  และพืชเศรษฐกิจหลักของชุมชน
                        5. ภูมิปัญญาท้องถิ่น  ทำเนียบชื่อ  ที่อยู่  ความรู้ความสามารถ  ความชำนาญของ               แต่ละบุคคลปัญหาชุมชน 
                        6. ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในชุมชน  เช่น  ยาเสพติด  พืชผลราคาตก  โจรผู้ร้ายชุกชุม
              นอกจาการศึกษาและสำรวจสภาพและความต้องการของชุมชน รวมทั้งข้อมูลที่สำคัญของชุมชนแล้ว  ต้องมีการสำรวจสภาพและความต้องการของผู้เรียน  ทั้งด้านร่างกาย  อารมณ์  สังคม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถได้จากครูในโรงเรียน ผู้ปกครอง  และตัวนักเรียนเอง
                   วิธีการศึกษาชุมชน  สามารถดำเนินการได้ดังนี้
                        1. ศึกษาจากเอกสารต่างๆ จัดเป็นข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีผู้จัดพิมพ์หรือรวบรวมไว้อยู่ในรูปเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ เอกสารเหล่านี้สามารถค้นคว้าศึกษาได้จากห้องสมุดจากหน่วยงานต่างๆ ที่รวบรวมจัดเก็บไว้
                        2. ศึกษาจากการสำรวจชุมชน จัดเป็นข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data)   ซึ่งผู้ต้องการใช้ข้อมูลเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากชุมชน ทำให้ได้เห็นสภาพที่แท้จริง และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนด้วย ซึ่งการสำรวจชุมชนต้องใช้วิธีการต่างๆ กัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง วิธีการต่างๆได้แก่ การสัมภาษณ์  การสอบถาม   และการสังเกตเป็นต้น
                        จากการศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน นำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาจัดลำดับความสำคัญ โดยกำหนดเป็นหัวเรื่องที่ต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้  เช่น  ในชุมชนมีปัญหายาเสพติด  สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ  ภาวะโลกร้อน  มีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ  เหล่านี้เป็นต้น  หรืออาจเป็นเรื่องที่ชุมชนต้องการถ่ายทอดวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนให้กับนักเรียนได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้จัดแยกเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจนว่า  อะไรเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องการแก้ไข  หรืออะไรเป็นสิ่งที่ต้องการให้นักเรียนรู้เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมของชุมชนในการดำเนินงานขั้นตอนนี้มีความสำคัญที่ต้องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชุมชน เช่น  ผู้ปกครอง  กรรมการโรงเรียน คนในชุมชน รวมทั้งนักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นร่วมกับครู  ผู้บริหารโรงเรียน  เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปของการจัดลำดับความสำคัญของปัญหา  หรือเรื่องราวที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้
                   1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน  การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนเป็นการศึกษาสภาพทั่วไปของโรงเรียนในด้านต่างๆ  เช่น  บุคลากร  งบประมาณ  อุปกรณ์  และสื่อต่างๆ อาคารสถานที่  ห้องเรียน  ปัญหาที่เกิดจากการใช้หลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน  ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยในการพิจารณาว่าโรงเรียนมีความพร้อมหรือไม่  มีผลต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกแนวทางการพัฒนาหลักสูตรอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับศักยภาพของโรงเรียนมากที่สุด  ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ได้จากเอกสาร รายงานต่างๆ เช่น  สถิติของโรงเรียน  รายงานการประเมินคุณภาพของโรงเรียน  การสำรวจภายในโรงเรียน  เป็นต้น
                   1.3 การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง เนื่องจากปัจจุบันเป็นระยะเวลาที่เราผ่านการใช้หลักสูตรมาหลายครั้งจนปัจจุบันกำลังจะนำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาใช้กับโรงเรียนนำร่องจำนวน 555 แห่ง ในปีการศึกษา 2552 และคาดว่าจะนำมาใช้ครบทุกชั้นในปีการศึกษา 2553 ดังนั้น การวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางใช้แนวทางการวิเคราะห์ดังนี้
                        1. หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) ให้พิจารณาจาก
                            1.1 จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
                            1.2 จุดประสงค์รายวิชา (ความมุ่งหวังที่ต้องการ)
                            1.3 เนื้อหาสาระ (โครงสร้างหลักสูตร)
                            1.4 กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลการเรียนรู้
                        2. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้พิจารณาจาก
                            2.1 มาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร
                            2.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น
                                      - 8 กลุ่มสาระ
                                      - กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
                            2.3 การจัดการเรียนรู้
                            2.4 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
                        ซึ่งสถานศึกษาแต่ละแห่งควรนำข้อมูลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่ประกอบด้วยการศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนและการวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง 
              ขั้นที่ 2 การร่างหลักสูตร เป็นการกำหนดแผนการจัดประสบการณ์ หรือการกำหนด               แนวทางการจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียน   ซึ่งประกอบด้วยจุดประสงค์ เนื้อหาสาระ กิจกรรมและวิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และทัศนคติตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
              ในการร่างหลักสูตรสถานศึกษาจะต้องนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในขั้นที่ 1 คือ ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็น ได้แก่ สภาพและความต้องการของชุมชน ศักยภาพของโรงเรียน หลักสูตรแกนกลางที่กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้วิชาที่ต้องการพัฒนา ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ คือ
                   2.1 การกำหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
                        1. จุดประสงค์ทั่วไป เป้าหมายหรือสิ่งที่มุ่งหวังให้เกิดกับผู้เรียนหลังจากที่ผู้เรียนได้เรียนรู้สิ่งนั้นๆ แล้ว ต้องนำข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมในขั้นที่ 1 มากำหนดเป็นจุดประสงค์ทั่วไป ต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง การกำหนดจุดประสงค์ต้องเขียนด้วยภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่ายและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงภายใต้ศักยภาพของแต่ละสถานศึกษา
                        ตัวอย่าง  การกำหนดจุดประสงค์ทั่วไปของหลักสูตร “การทำผลไม้แปรรูป คือ ให้นักเรียนมีความรู้และทักษะในการทำผลไม้แปรรูป”
                        2. จุดประสงค์การเรียนรู้
                            - บอกความหมายของ “ผลไม้แปรรูป” ได้
                            - สามารถทำผลไม้แปรรูปได้
                            - มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพการทำผลไม้แปรรูป
                            - สามารถบรรจุหีบห่อที่สวยงามได้
                            - สามารถตั้งราคาขายที่เหมาะสมได้
                            ฯลฯ
                   2.2  การกำหนดเนื้อหาสาระ  เนื้อหาสาระเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการพัฒนาหลักสูตร ทั้งนี้เนื่องจากเนื้อหาสาระเป็นเครื่องมือหรือสื่อกลางที่จะพาผู้เรียนไปยังวัตถุประสงค์ที่   วางไว้  การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาใช้เนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับชุมชนที่เป็นบริบทของโรงเรียนให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่วางไว้  มีความยากง่ายสอดคล้องเหมาะสมกับวัยหรือลำดับขั้นของการพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งประสบการณ์เดิมของผู้เรียน มีประโยชน์ต่อผู้เรียนที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เนื้อหาที่เลือกมาสามารถจัดให้ผู้เรียนได้โดยพิจารณาถึงความพร้อม ศักยภาพของโรงเรียน บุคลากรที่เป็นผู้สอน วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ตัวอย่างการพัฒนาหลักสูตร “การทำผลไม้แปรรูป”  ประกอบด้วยเนื้อหาสาระดังนี้
                        - ลักษณะและชนิดของผลไม้ที่นำมาแปรรูป
                        - ขั้นตอนการทำผลไม้แปรรูป
                        - การทำความสะอาดเครื่องใช้
                        - การบรรจุหีบห่อ
                        - การตั้งราคาขาย
                        ฯลฯ
                   2.3 การจัดการเรียนการสอน  กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้  กิจกรรมการเรียนการสอน  คือ  กิจกรรมที่ทั้งผู้เรียนเป็นผู้กระทำ และกิจกรรมที่ผู้สอนเป็นผู้กระทำ  มีการใช้สื่อการเรียนการสอนต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้กิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน การบรรยาย การสาธิต ผู้เรียนมีการซักถามโต้ตอบ การลงมือปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระที่กำหนดขึ้น  ครูต้องคำนึงถึงพื้นฐานและประสบการณ์เดิมของผู้เรียน  การกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน  ซึ่งอาจมีการนำสื่อทั้งในด้านวัสดุอุปกรณ์ และบุคคล สถานที่ที่อยู่ในชุมชน เข้ามากำหนดเป็นกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม  เพื่อให้การเรียนรู้เชื่อมโยงกับชุมชน ส่งผลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนอันเนื่องมาจากการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ได้
              กิจกรรมการเรียนการสอน  ได้แก่ กิจกรรมในลักษณะต่อไปนี้คือ  ศึกษา ทดลอง สำรวจ   ฝึกปฏิบัติ วิเคราะห์ อภิปราย สัมมนา ระดมความคิด ฯลฯ ตัวอย่างกิจกรรม “ศึกษา” ได้แก่ (กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ , 2539: 9)
                   - ฟังคำอธิบายจากครู
                   - ค้นคว้าจากห้องสมุดของโรงเรียน
                   - ค้นคว้าจากแหล่งวิทยาการอื่นๆ
                   - เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในท้องถิ่นมาบรรยาย
                   - ออกไปสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เกี่ยวข้องในท้องถิ่น
                   - ออกไปสำรวจดูสภาพจริงในพื้นที่
                   - สังเกตสิ่งแวดล้อมรอบข้าง
                   - ออกไปทัศน์ศึกษา
                   - รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
                   - นำหรือพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้
ฯลฯ
              นอกจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว  ครูยังสามารถจัดทำสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้โดยการจัดสื่อต่างๆ  เพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนได้ดังนี้ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ , 2539: 17-18)
              1. หนังสือเรียน เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ใช้สำหรับการเรียน มีสาระตรงตามที่ระบุไว้ในหลักสูตรอย่างถูกต้อง อาจมีลักษณะเป็นเล่ม เป็นแผ่นหรือเป็นชุดก็ได้
              2. คู่มือครู แผนการสอนแนวการสอนหรือเอกสารอื่นๆ ที่จัดทำขึ้นเพื่อช่วยครูในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ละรายวิชาให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของหลักสูตร
              3. หนังสือเสริมประสบการณ์  เป็นหนังสือที่จัดทำขึ้นโดยคำนึงถึงประโยชน์ในด้านการศึกษาหาความรู้ของตนเอง  ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ความซาบซึ้งในคุณค่าของภาษา  การเสริมสร้างทักษะและนิสัยรักการอ่าน การเพิ่มพูนความรู้  ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ตามหลักสูตรให้กว้างขวางขึ้น หนังสือประเภทนี้โรงเรียนควรจัดหาไว้บริการครูและนักเรียนในโรงเรียน  หนังสือเสริมประสบการณ์จำแนกออกเป็น 4  ประเภท  คือ
                   3.1 หนังสืออ่านนอกเวลา เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ใช้ในการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งตามหลักสูตรนอกเหนือจากหนังสือเรียนสำหรับให้นักเรียนอ่านนอกเวลาเรียน โดยถือว่าเป็นกิจกรรรมการเรียนเกี่ยวกับหนังสือนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนตามหลักสูตร
                   3.2 หนังสืออ่านเพิ่มเติม เป็นหนังสือที่มีสาระ สำหรับให้นักเรียนอ่านเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง ตามความเหมาะสมกับวัยและความสามารถในการอ่านของแต่ละบุคคล หนังสือประเภทนี้เคยเรียกว่าหนังสืออ่านประกอบ
                   3.3 หนังสืออุเทศ เป็นหนังสือใช้ค้นคว้าสำหรับอ้างอิงเกี่ยวกับการเรียนโดยมีการเรียบเรียงเชิงวิชาการ
                   3.4 หนังสือส่งเสริมการอ่าน เป็นหนังสือที่จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เน้นไปในทางส่งเสริมให้ผู้อ่านเกิดทักษะในการอ่าน และมีนิสัยรักการอ่านมากยิ่งขึ้น อาจเป็นหนังสือสารคดี  นวนิยาย นิทาน ฯลฯ ที่มีลักษณะไม่ขัดต่อวัฒนธรรม ประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ให้ความรู้ มีคติและสารประโยชน์
              4. แบบฝึกหัด เป็นสื่อการเรียนสำหรับให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เพื่อช่วยเสริมให้เกิดทักษะ และความแตกฉานในบทเรียน
              5. สื่อการเรียนการสอนอื่นๆ เช่น สื่อประสม วีดีทัศน์ แถบบันทึกเสียง ภาพพลิก แผ่นภาพ เป็นต้น
              สื่อการเรียนการสอนดังกล่าวข้างต้น  โรงเรียนสามารถเลือกใช้  ปรับปรุง หรือจัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ตามความเหมาะสม
              2.4  การกำหนดวิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน  เนื่องจากการพัฒนาหลักสูตร  จุดประสงค์ชัดเจนที่กำหนดความคาดหวังในคุณลักษะต่างๆ  ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน รวมทั้งวิธีการดำเนินการเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้  การที่ผู้ใช้หลักสูตรหรือครูทราบว่าผลที่เกิดจากการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างไร  มีส่งใดที่ต้องปรับปรุง  แก้ไข  ผู้เรียนได้บรรลุตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่เพียงใดนั้น  ต้องมีวิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน  รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินผล  ซึ่งการวัดและประเมินต่อผู้สอนที่ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียนรวมทั้งตัวผู้สอนเองช่วยให้ผู้สอนทราบคุณภาพการจัดการเรียนการสอน  ซึ่งรวมถึงคุณภาพของหลักสูตร  นำไปสู่การปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสมยิ่งขึ้น  ซึ่งการวัดและประเมินผลผู้เรียนมีทั้งก่อนการจัดการเรียนการสอน  ระหว่างและสิ้นสุดการจัดการเรียนการสอน  แล้วแต่ความเหมาะสม
              ขั้นที่ 3 การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร  เมื่อร่างหลักสูตรเรียบร้อยแล้ว  ก่อนที่จะนำไปใช้กับนักเรียน  จำเป็นต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรก่อน  เพื่อหาข้อบกพร่องและปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมและสมบูรณ์ที่สุด  สิ่งที่ต้องพิจารณาในการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรคือ  ความสอดคล้องขององค์ประกอบต่างๆ  ได้แก่  จุดประสงค์  เนื้อหาสาระ  การจัดการเรียนการสอน  กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้  วิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน  ซึ่งวิธีการตรวจสอบกระทำได้โดย
              1. คณะทำงานร่างหลักสูตร เป็นกลุ่มบุคคลที่พัฒนาหลักสูตรขึ้นมา เช่น คณะครู ผู้บริหารผู้ปกครอง คนในชุมชน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
              2. ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านเนื้อหาสาระ ด้านสื่อการเรียนรู้ ด้านหลักสูตรและการสอน เป็นผู้ให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
              3. การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจอยู่ในลักษณะของการจัดประชุม/สัมมนา เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อนำสู่การปรับปรุงหลักสูตร
              ขั้นที่  4 การนำหลักสูตรไปใช้  หลังจากที่มีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรละปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรที่ร่างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว  ขั้นต่อไปคือ การนำหลักสูตรไปใช้  ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมาก  ครูที่เป็นผู้ปฏิบัติการหลักในการพัฒนาหลักสูตรเป็นผู้นำหลักสูตรไปใช้  ด้วยการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน  ครูกำหนดวิธีการจัดการเรียนการสอน  กำหนดรายละเอียดกิจกรรมในแต่ละคาบ  พร้อมทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ  การประสานงานกับบุคคลที่จะเข้ามาช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้  รวมทั้งการจัดเตรียมสื่อการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพของชุมชน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น